Tuesday, April 20, 2010

อุบาสิกาแก้วกับ การปัดกวาดวัด ให้เหมาะกับการนั่งสมาธิ

คลิ๊กที่ภาพ เพื่อดูภาพใหญ่
ปัดกวาดวัด ทำความสะอาดวัด ให้วัดของอุบาสิกาแก้ว มีคนเข้าวัดเยอะ เพราะวัดสะอาดตา  จึงสะอาดใจ
พระอาจารย์เล่าว่า " สมัยก่อนมีนกกระจาบตัวหนึ่ง คาบเอาใบไม้แค่ใบเดียวจากวัด ไปทิ้ง  ตายแล้วยังไปเกิดในสวรรค์ ได้เลย"  อานิสงส์มีมากจริงๆ




กวาดไปใจอยู่ที่ศูนย์กลางใจ                             ยายยังไหวอยู่น่ะจ๊ะ...หลานๆ 




คลิ๊กที่ภาพ เพื่อดูภาพใหญ่




คลิ๊กที่ภาพ เพื่อดูภาพใหญ่
วัดปราการ ขาวสะอาด เพราะอุบาสิกาแก้ว
เช่นนี้นี่เอง 


อานิสงส์ของการกวาดลานวัด 
พระนางโรหิณี


พระนางโรหิณีนั้นเป็นพระกนิษฐภคิรี ( น้องสาว ) ของพระอนุรุทธเถระ พระอนุรุทธะนั้น ท่านมีพี่น้อง ๓ คน คือ ๑ . พระมหานามะ ๒. พระอนุรุทธะ ๓ พระนางโรหิณี
พระอนุรุทธะ บิดาของ พระนางโรหิณีนั้นเป็นพระกนิษฐภคิรี ( น้องสาว ) ของพระอนุรุทธเถระ พระอนุรุทธะนั้น ท่านมีพี่น้อง ๓ คน คือ ๑ . พระมหานามะ ๒. พระอนุรุทธะ ๓ พระนางโรหิณี

พระอนุรุทธะ บิดาของท่านคือ พระเจ้าอมิโตทนะ ซึ่งเป็นพระกนิษฐภาดา ( น้องชาย ) ของพระเจ้าสุทโธทนะ เพราะฉะนั้น พระอนุรุทธะนั้นจึงเป็นลูกผู้พี่ผู้น้องของพระพุทธเจ้า
วันหนึ่ง พระอนุรุทธะได้เดินทางไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ อันเป็นบ้านเดิมของท่าน เมื่อไปแล้ว พวกบรรดาพระญาติก็มาหาท่านเป็นจำนวนมาก แต่ยังขาดอยู่คนหนึ่งไม่ได้ไปพบ นั้นก็คือพระนางโรหิณี พระอรนุรุทธะจึงถามพวกพระญาติที่มาพบว่า น้องหญิงไปไหนเสียจึงไม่มา ก็ได้รับการบอกว่าอยู่ที่พระตำหนัก ท่านก็ถามว่า ทำไมจึงไม่มา ก็ได้รับคำตอบว่า พระนางเป็นโรคผิวหนังมีแผลพุพองคันไปทั่วทั้งตัวจึงไม่กล้ามา

พระอนุรุทธะก็ให้คนไปตามมาพบให้ได้ พอพระนางมาแล้วไหว้พระเถระ ๆ ก็ถามว่าทำไมไม่มา พระนางก็เรียนว่าตนเป็นโรคผิวหนังอันไม่งามจึงไม่มา ก็เพราะความละอาย

พระอนุรุทธะเถระก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงสร้างศาลาขึ้น ๑ หลัง เป็นศาลาโรงฉันสำหรับภิกษุสงฆ์

พระนางโรหิณีก็เรียนถามว่า กระหม่อมฉันจะเอาเงินที่ไหนมาสร้าง

พระเถระก็พูดว่า เครื่องประดับของเธอไม่มีบ้างหรือ

พระนางก็เรียนว่า มีเครื่องประดับอยู่

พระเถระถามว่า ราคาประมาณเท่าไร

พระนางเรียนว่า ประมาณหนึ่งหมื่นกหาปณะ

พระเถระจึงบอกว่า เธอจงขายเครื่องประดับนี้เสียแล้วนำไปสร้างศาลาโรงฉัน



พระนางก็ถามว่า แล้วใครจะช่วยสร้างให้ เพราะไม่มีคนสร้าง พระเถระก็มองดูพระญาติ ๆ ทั้งหลายซึ่งมานั่งอยู่เป็นจำนวนมากแล้วพูดขึ้นว่า ให้พระญาติทั้งหลายนั้นช่วยจัดการเรื่องนี้ ช่วยกันสร้างศาลานี้ บรรดาพระญาติทั้งหลายก็รับคำจัดการสร้างให้

พอศาลาโรงฉันสร้างเสร็จ พระนางก็มีจิตผ่องแผ่วเกิดปีติโสมนัสยิ่ง เริ่มไปปัดกวาด ปูอาสนะ ตั้งน้ำใช้น้ำฉันไว้ แล้วพระนางก็เริ่มปฎิบัติถือศีลฟังธรรมตามกาล โรคเรื้อนหรือโรคผิวหนังที่พระนางเป็นอยู่ก็เริ่มแห้งราบลงไป ๆ เมื่อถึงวันฉลองศาลาโรงฉัน พระนางก็ได้ให้คนไปนิมนต์พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้มาเสวยที่โรงฉันหลังนั้น พระพุทธเจ้าทรงรับแล้วได้เสด็จมาเสวยพระกระยาหารในที่นั้น

พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถามว่านี้เป็นทานของใคร พระอนุรุทธเถระก็ทูลตอบว่า นี้เป็นทานของพระนางโรหิณี ผู้เป็นพระน้องนาง

พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า พระนางโรหิณีไปอยู่ที่ไหนเสียเล่า

พระอนุรุทธเถระทูลตอบว่า อยู่ที่พระตำหนักไม่กล้ามา เพราะละอายที่ตนเป็นโรคผิวหนังอันน่ารังเกลียด

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสรับสั่งให้ไปตามพระนางมา เมื่อพระนางมาแล้วก็ทำการถวายบังคม แล้วก้มหน้านิ่ง

พระพุทธองค์ได้ตรัสถามพระนางว่า ทำไมไม่มา

พระนางก็ทูลตอบว่า ตนเป็นโรคผิวหนังอันพุพองเป็นที่น่ากลัวน่ารังเกลียด จึงได้มีความละอาย เลยไม่กล้าที่จะมาเข้าเฝ้า

พระพุทธองค์ทรงตรัสถามว่า เธอทราบไหมว่า ทำไมจึงเป็นโรคผิวหนัง

พระนางทูลตอบว่า ไม่ทราบพระเจ้าข้า

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ที่เป็นโรคผิวหนังพุพองนั้นก็เพราะความโกรธที่เธอทำไว้ในชาติก่อน
จึงทำให้เป็น

โรคผิวหนังเป็นแผลพุพองอันน่าเกลียด และพระองค์ได้ยกอดีตนิทานของพระนางโหริณีในชาติก่อนมา

ตรัสเล่าว่า

ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี พระนางนั้นได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี พระนางมีความผูกจิตริษยาอาฆาตแค้นในหญิงนักฟ้อนรำของพระราชาองค์นั้น ( อาจเป็นเพราะพระราชาโปรดปราณหญิงนักฟ้อนรำคนนั้นมากก็ได้ ทำให้พระนางริษยาแค้นเคืองหนักหนา )

พระนางทรงรับสั่งให้เรียกหญิงนักฟ้อนรำนั้นเข้ามาที่พระตำหนัก แล้วตรัสสั่งคนให้เอาผงเต่าร้างโปรยบนผ้าที่นอนของหญิงนักฟ้อนรำนั้น นอกจากจะโรยที่นอนแล้วก็ให้โปรยบนผ้าห่มด้วย เมื่อหญิงนักฟ้อนรำเข้ามาเฝ้า พระนางก็ทรงโปรยผงเต่าร้างลงไปที่ตัวของนางนักฟ้อนรำแล้วทำเป็นหัวเรอะเล่น

หญิงนักฟ้อนรำนั้นเมื่อโดนผงเต่าร้างโรยมาที่ตัวก็ให้คันเหลือประมาณได้รับ ทุกขเวทนายิ่ง ตามตัวก็พุพองขึ้นเป็นเม็ดน้อยเม็ดใหญ่ เมื่อเม็ดพุพองขึ้นมาก็เกา เกาหาที่คันเม็ดตุ่มคันก็เเตกเป็นแผล เมื่อนางไปนอนบนที่นอนก็ถูกผงเต่าร้างกัดที่นอนนั้น นางได้รับทุกข์เวทนาอย่างแรงกล้า

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เพราะกรรมอันนี้เอง เธอจึงเป็นโรคเรื้อนเพราะความริษยา เพราะความโกรธนี้เองจึงเป็นเหตุให้เธอต้องรับทุกข์เวทนาเช่นนี้ ในที่สุด พระพุทธองค์จึงทรงตรัสแสดงธรรมกับพระนางขึ้นว่า “ บุคคลไม่พึงโกรธ พึงสละความถือตัวเสีย ควรล่วงสังโยชน์เสียให้สิ้น ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกแก่บุคคลเช่นนั้น ผู้ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ”
 :เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม พระนางก็พิจารณาตามกระแสแห่งพระสัทธรรมนั้น และในที่สุดพระนางก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น เมื่อพระนางสำเร็จโสดาบันในครั้งนั้น พระนางก็มีผิวพรรณวรรณะดุจทองคำในขณะนั้นเอง นี่เป็นผลอานิสงส์จากการที่พระนางได้สร้างศาลาโรงฉันแล้วก็ได้ปฎิบัติธรรม ปัดกวาดศาลาโรงฉัน ตั้งน้ำใช้น้ำฉันเป็นต้น

อานิสงส์ของการกวาดลานวัด


คนโบราณเขาเชื่อถือกันมาว่า ผู้ที่มีโรคผิวหนังพุพองหรือโรคเรื้อน ถ้าได้มาเก็บขยะเก็บใบไม้ที่ล่วงหล่นปัดกวาดลาดวัดให้สวยงามสอาดตาแล้วนั้น เชื่อกันว่าจะทำให้ผิวพรรณวรรณะงดงามและทำให้โรคร้ายหายไปได้ การกวาดวัดนี้มีอานิสงส์ถึง ๕ อย่างคือ

๑. บุคคลเห็นเข้าก็เลื่อมใส
๒. เทวดาเห็นเข้าก็เลื่อมใส
๓. จิตของผู้กวาดตั้งสมาธิได้เร็ว
๔. ผิวพรรณวรรณผ่องใส
๕. เมื่อตายดับสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ไปบังเกิดในภพภูมิสวรรค์


นี่คือผลอานิสงส์ของการเก็บปัดกวาดลานวัด

ส่วนพระนางโรหิณีกวาดศาลาที่พระนางสร้างเองนั้น เมื่อพระนางสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดบนสวรรค์ดาวดึงส์ แต่สถานที่พระนางไปเกิดนั้นแปลกกว่าคนอื่น คือ ไม่ได้ไปเกิดในวิมานของใคร พระนางไปเกิดอยู่ในระหว่างพรหมเทพบุตรทั้ง ๔ จึงเกิดปัญหาขึ้น

เทพบุตรทั้ง ๔ ต่างก็พูดว่า นางเทพธิดานี้เป็นสมบัติของตน ต้องการจะเอามาเป็นภรรยา เมื่อตกลงกันไม่ได้ ในที่สุดก็นำเรื่องไปกราบทูลท้าวสักกเทวราชเพื่อให้ทรงตัดสิน ท้าวสักกเทวราชทรงเห็นพระนางแล้วก็เกิดความรักขึ้นจึงตรัสถามเทพบุตรทั้ง หลายว่า ท่านทั้งหลายเห็นนางแล้วรู้สึกอย่างไร

เทพบุตรองค์หนึ่งได้กราบทูลว่า เมื่อเห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์เต้นแรงเหมือนกับกลองศึก ไม่อาจจะสงบนิ่งอยู่ได้

เทพบุตรอีกองค์ที่สองก็กราบทูลว่า เมื่อเห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์ถลนออกมาเหมือนตาปู

เทพบุตรอีกองค์ที่สามกราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์เห็นนางแล้ว จิตของข้าพระองค์เป็นไปโดยรวดเร็ว เหมือนกับน้ำที่ตกจากภูขา

เทพบุตรองค์ที่สี่กราบทูลว่า เมื่อข้าพระองค์เห็นนางแล้ว ใจเต้นเหมือนกับธงที่ปักไว้บนยอดเจดีย์ สะบัดอยู่ ไม่หยุดนิ่ง

ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า ท่านทั้งสี่เห็นนางเทพธิดานี้แล้วยังพออยู่ได้ แต่ข้าพเจ้านี้ ถ้าหากไม่ได้นางเทพธิดาองค์นี้เป็นพระชายาแล้วจะต้องตาย

เทพบุตรทั้งสี่นั้นก็กราบทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่ต้องการให้พระองค์ถึงสวรรคต ขอมอบนางเทพธิดาองค์ให้เป็นสิทธิ์ของพระองค์

ดังนั้น พระนางโรหิณีที่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ได้เป็นที่โปรดปรานของท้าวสักกเทวราช

No comments: